top of page

เลือกของพรีเมี่ยมอย่างไรให้ตรงใจลูกค้า และเพิ่มยอดขายได้จริง

  • psaowara1
  • Jul 6
  • 2 min read
ree

ในยุคปัจจุบัน นักธุรกิจและนักการตลาดส่วนใหญ่เลือกที่จะใส่ใจไปกับการมอบ ของพรีเมี่ยม หรือ “สินค้าพรีเมี่ยม” เป็นอย่างมาก เนื่องจากการส่งมอบของพรีเมี่ยมให้กับลูกค้าคนสำคัญได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการทำการตลาด เนื่องจากนับได้ว่าเป็นกิจกรรมดี ๆ ในการกระตุ้นยอดขาย และเป็นส่วนที่ช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์หรือธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การแจกของพรีเมี่ยมที่โดนใจลูกค้า ยังช่วยสร้าง Brand Loyalty โดยทำผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้ามีความพึงพอใจต่อแบรนด์ ทำให้กระตุ้นการกลับมาซื้อซ้ำ และยังช่วยสร้าง Word of Mouth หรือ การบอกแบบปากต่อปาก เพื่อที่จะขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้เป็นที่รู้จักได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย และด้วยเหตุนี้ ธุรกิจหรือแบรนด์จึงจำเป็นจะต้องใส่ใจไปกับการคัดสรรและเลือกสรรสินค้าพรีเมี่ยมที่ตรงใจและโดนใจลูกค้า และในบทความนี้ ทางเราจะขอนำเสนอ เทคนิคในการเลือกของพรีเมี่ยมอย่างไรให้ตรงใจลูกค้า และเพิ่มยอดขายได้จริง” ส่วนจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลยค่ะ 

 

 

มาทำความเข้าใจกันก่อน สินค้าพรีเมี่ยมหรือของพรีเมี่ยม มีกี่ประเภท?

1.         Branded Promotional Gift – ราคาไม่สูงมาก เช่นไม่เกิน 1500 บาทต่อชิ้น

ของพรีเมี่ยมสกรีนโลโก้ หรือใส่ชื่อของแบรนด์ลงบนสินค้า คือ ของพรีเมี่ยมที่ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปในท้องตลาด เพราะถูกออกแบบมาให้มีความพิเศษเฉพาะตัว สื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรูป พิมพ์ สกรีน ปัก หรือสลักโลโก้และตัวตนของแบรนด์ การใส่สโลแกน หรือการผลิตเพื่อใช้ในองค์กรเท่านั้น บางชิ้นอาจมีคุณค่าทางจิตใจสูง เพราะสะท้อนความผูกพันระหว่างผู้รับกับแบรนด์ได้อย่างลึกซึ้ง 

ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์รถยนต์ที่เลือกแจก “โมเดลรถ” ของตนเอง หรือธุรกิจในกลุ่มประกัน บัตรเครดิต และธนาคาร ก็มักเลือกแจก “กระเป๋าเดินทาง” ที่ออกแบบและผลิตในนามของบริษัท เพื่อแจกเป็นของขวัญให้กับลูกค้าคนสำคัญ ในยุคที่สถานการณ์ทั่วโลกเริ่มกลับมาเป็นปกติ การเดินทางกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง การมอบของพรีเมี่ยมประเภท “กระเป๋าเดินทางสกรีนโลโก้” หรือ “กระเป๋าผ้าผลิตตามแบบ” จึงกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์แบรนด์ที่ต้องการสร้างความประทับใจ และดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

2.        Premium Gift - สินค้าราคาสูง

Premium Gift เมื่อแปลตรงตัวคือของขวัญระดับพรีเมี่ยม ของแจกราคาสูง (มากกว่า 5000 บาทขึ้นไป) ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ยอดนิยมที่แบรนด์ใหญ่ ๆ มักหยิบมาใช้เป็นลูกเล่นทางการตลาด ไม่จำเป็นต้องเป็นของที่มีโลโก้แบรนด์ติดอยู่เสมอไป แต่ขอให้เป็นของที่มีมูลค่า ใช้ประโยชน์ได้จริง และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย ของพรีเมี่ยมแบบนี้มักถูกใช้ในโอกาสสำคัญ จะมีโลโก้หรือไม่ใส่โลโก้ของบริษัทก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น งานเปิดตัวสินค้าใหม่ โครงการบ้านหรือคอนโด รวมไปถึงรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ สิ่งที่เราเห็นบ่อยคือการแจกของมีมูลค่าสูง เช่น แจก iPhone สำหรับผู้ที่จองบ้าน หรือจัดกิจกรรมให้ลูกค้าร่วมสนุก เช่น ส่งรหัสจากใบเสร็จเพื่อลุ้นรางวัลใหญ่ อย่างตั๋วเครื่องบินฟรี ไอเดียแบบนี้ไม่ได้เน้นการขายของตรง ๆ แต่เป็นการสร้างกระแส ดึงดูดความสนใจ และกระตุ้นให้คนพูดถึงแบรนด์ในวงกว้าง

 

*หลายคนอาจเกิดความสับสนเมื่อใช้คำว่า "ของพรีเมี่ยม" ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษในบริบทของภาษาไทย คำว่า ของพรีเมี่ยม มักหมายถึงสินค้าที่มีการตีแบรนด์หรือโลโก้ของบริษัท และนำมาแจกจ่ายทั่วไป เช่น ในงานอีเวนต์ โปรโมชั่น หรือเป็นของสมนาคุณ แม้สินค้านั้นจะไม่ได้มีมูลค่าสูงมากก็ยังเรียกว่าของพรีเมี่ยมได้

แต่ในภาษาอังกฤษ คำว่า Premium Gift นั้นมีความหมายที่ต่างออกไปชัดเจน โดยเมื่อแปลตรงตัวจะหมายถึง ของขวัญระดับพรีเมี่ยม ซึ่งสื่อถึงของขวัญที่มีมูลค่าสูง โดยทั่วไปมักมีมูลค่ามากกว่า 5,000 บาทขึ้นไป และมักใช้ในบริบทของของขวัญสำหรับลูกค้า VIP ผู้บริหาร หรือในแคมเปญพิเศษที่ต้องการสร้างความประทับใจระดับสูง


เทคนิคการเลือกของพรีเมี่ยมให้โดนใจลูกค้า และเพิ่มยอดขายได้จริง

การเลือกของพรีเมี่ยมให้ลูกค้าไม่ใช่แค่เรื่องของการแจกของไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมของของที่แจกไป ความสำคัญคือของพรีเมี่ยมที่แจกนั้นจะต้องตอบโจทย์และให้ประโยชน์กับลูกค้าจริง ๆ นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากต้องใช้เงินและทรัพยากรในการผลิตของพรีเมี่ยมต่าง ๆ เหล่านั้น ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกของพรีเมี่ยม ทางเรามี 6 คำถามเพื่อให้คุณได้สอบถามตัวเอง เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเลือกของพรีเมี่ยมที่ดีที่สุด สามารถเลือกของพรีเมี่ยมได้โดนใจลูกค้า ตลอดจนกระทั่งสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างจริงจัง และยังช่วยให้คุณได้ตรวจสอบว่าของพรีเมี่ยมที่เลือกนั้น คุ้มค่ากับการลงทุนจริง ๆ หรือไม่ โดยคำถามทั้ง 6 ข้อ มีดังนี้


1.        ของพรีเมี่ยมชิ้นนี้ สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์หรือธุรกิจได้อย่างแท้จริงหรือไม่?

ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ กระเป๋าผ้า หรือสินค้าไอทีต่าง ๆ ทุกชิ้นล้วนเป็นตัวแทนของแบรนด์ที่ส่งตรงถึงมือลูกค้า การแจกของพรีเมี่ยมจึงไม่ใช่แค่การให้ของฟรี แต่เป็นโอกาสในการโปรโมตแบรนด์ให้คนจดจำ สิ่งสำคัญคือ “เอกลักษณ์ของแบรนด์” ต้องชัดเจน ของที่เลือกควรสะท้อนภาพลักษณ์หรือคาแรคเตอร์ของแบรนด์อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทรถไฟฟ้า EV ควรแจกสินค้าที่เกี่ยวกับนวัตกรรมและรักษ์โลก  โรงพยาบาลควรแจกสินค้าเกี่ยวกับ Wellness เช่นหมอนผ้าห่ม หรือกระติกเก็บความร้อน/เย็น ไม่ควรแจกสินค้าที่ไม่ตรงตีมหรือสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดขายของแบรนด์ เพราะนั่นอาจทำให้การลงทุนครั้งนี้ไม่เกิดผลเท่าที่ควร ลองคิดดูว่า ถ้าลูกค้าได้รับของที่เขาชอบ ใช้ได้จริง และรู้สึกว่า “สิ่งนี้มันคือแบรนด์คุณเลย” นั่นคือความสำเร็จของของพรีเมี่ยมอย่างแท้จริง ดังนั้นก่อนจะผลิตหรือสั่งทำอะไร ลองถามตัวเองก่อนว่า “ของชิ้นนี้สื่อถึงตัวตนของแบรนด์เราไหม?” ถ้าตอบได้เต็มปากว่าสื่อแน่ ๆ ก็เดินหน้าต่อได้เลย

 

 

2.        ของพรีเมี่ยมใช้งานได้จริงไหม ?

นี่คือคำถามสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือกหรือผลิตของพรีเมี่ยม เพราะต่อให้ดีไซน์สวยแค่ไหน ถ้าใช้งานไม่ได้จริง ก็อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกเฉย ๆ หรือแย่กว่านั้นคือรู้สึกผิดหวัง ของพรีเมี่ยมที่ดีควรมีคุณภาพ ใช้งานได้จริง และทนทาน เช่น ปากกาพรีเมี่ยม ควรเขียนลื่น เขียนติด ไม่หมึกขาด หรือถ้าเป็นกระเป๋าผ้า ควรเย็บแน่น ไม่ขาดง่าย และรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริง ของที่มีคุณภาพจะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจรายละเอียด และให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของเขาจริง ๆเพราะฉะนั้น ก่อนตัดสินใจผลิตของพรีเมี่ยม ลองหยิบมาพิจารณาว่า “ของชิ้นนี้ใช้งานได้ดีแค่ไหน?” ถ้าลูกค้ารู้สึกประทับใจเมื่อได้ใช้ แสดงว่าเราลงทุนได้คุ้มค่าแล้วจริง ๆ


3.         เข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน

ก่อนจะเลือกของพรีเมี่ยม ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า “ใครคือคนที่จะได้รับของนี้” หากกลุ่มเป้าหมายเป็นพนักงานออฟฟิศ ของอย่าง แก้วน้ำเก็บความร้อน, ปากกาดีไซน์สวย หรือสมุดโน้ตพรีเมี่ยม อาจเป็นตัวเลือกที่ดี หากเป็นลูกค้าวัยรุ่น อาจเหมาะกับของอย่าง Power Bank, พวงกุญแจดีไซน์น่ารัก หรือของใช้อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก เราควรคำนึงถึงความประทับใจในการรับของพรีเมี่ยมถือเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ลองคิดง่าย ๆ ว่า หากเราเป็นลูกค้าเอง เราจะอยากได้รับของพรีเมี่ยมชิ้นนั้นไหม? และเราจะนำไปใช้งานจริงหรือเปล่า? หากของพรีเมี่ยมที่เราแจกมีคุณภาพดี ใช้งานได้จริง เช่น ปากกาคุณภาพสูงหรือกระเป๋าทนทาน ลูกค้าจะรู้สึกดีและจดจำแบรนด์ของเราไปอีกนาน 

 

4.         มีเรื่องราวหรือความหมาย หากของพรีเมี่ยมสามารถสื่อสารเรื่องราวได้

จะยิ่งช่วยสร้างความผูกพัน เช่น แจกของที่ระลึกในวาระบริษัทครบรอบ 50 ปี ด้วยการใส่ข้อความลงบนสินค้า “50 ปีที่อยู่เคียงข้างกัน เป็นเหมือนดั่งครอบครัว” หรือเป็นของพรีเมี่ยมที่ตรงกับเทศกาลหรือกระแสอะไรที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความหมายกับผู้รับมากขึ้น เช่น หากเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส ของพรีเมี่ยมควรออกแบบให้เข้ากับบรรยากาศ เช่น แก้วร้อนที่มีลายคริสต์มาส หรือกระเป๋าพรีเมี่ยมที่มีลักษณะเป็นรูปซานต้า เป็นต้น การเลือกของพรีเมี่ยมที่สอดคล้องกับเทศกาลไม่เพียงแต่ทำให้ของดูน่าสนใจ แต่ยังสร้างความรู้สึกพิเศษและเชื่อมโยงกับช่วงเวลานั้น ๆ ได้ดีขึ้น 

 

5.        งบประมาณที่ใช้ผลิตของพรีเมี่ยม เกินความจำเป็นไปหรือไม่ ?

การแจกของพรีเมี่ยมมักถูกใช้ในสองวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ และเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ใช้บริการของเรามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าประจำ กลุ่มสมาชิก หรือกลุ่ม VIP ของแบรนด์ ของพรีเมี่ยมในลักษณะนี้มักจะถูกผลิตในจำนวนจำกัด ไม่ได้ผลิตจำนวนมากเหมือนของแจกทั่วไป นั่นเพราะเราต้องคำนึงถึง "ต้นทุน" ที่ใช้ในการผลิต รวมถึงต้องประเมินว่า การให้ของพรีเมี่ยมเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นยอดขาย หรือเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ได้มากน้อยแค่ไหน หากลงทุนสูง แต่ผลตอบรับไม่คุ้ม ก็อาจไม่เหมาะที่จะทำซ้ำในอนาคต ดังนั้นการวางแผนให้ของพรีเมี่ยมอย่างรอบคอบ ไม่เพียงช่วยประหยัดงบประมาณ แต่ยังทำให้การแจกของดูมีคุณค่า และตรงกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย

6. สร้างความประทับใจด้วยดีไซน์และคุณภาพ

อย่ามองข้ามเรื่องดีไซน์และวัสดุของของพรีเมี่ยม เพราะรูปลักษณ์ที่ดูดี มีสไตล์ และมาพร้อมคุณภาพที่เชื่อถือได้ จะสร้างความรู้สึกประทับใจและเพิ่มคุณค่าทางจิตใจให้กับผู้รับได้มากกว่าสินค้าที่ดูเหมือนของแจกทั่วไป การเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทาน เช่น สแตนเลสแทนพลาสติก หรือผ้าแคนวาสแทนผ้าสังเคราะห์ราคาถูก สามารถยกระดับภาพลักษณ์ของสินค้าได้ในทันที นอกจากนี้ การเลือกโทนสีที่กลมกลืนกับอัตลักษณ์ของแบรนด์ เช่น สีโลโก้หลักหรือสีที่สื่อถึงความไว้วางใจ ความมั่นคง หรือความเป็นมิตร ก็ช่วยเสริมความเป็นมืออาชีพให้กับของพรีเมี่ยมชิ้นนั้น

อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้ามคือ การจัดวางโลโก้หรือชื่อแบรนด์ ซึ่งไม่ควรใหญ่จนเกินไป หรือเด่นจนบดบังความสวยงามของตัวสินค้า ควรแทรกให้กลมกลืนกับดีไซน์โดยรวม เพื่อให้ของชิ้นนั้นยังคงความสวยงามน่าใช้ และในขณะเดียวกันก็สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อโฆษณาแฝงให้กับแบรนด์ได้อย่างแนบเนียน

ของพรีเมี่ยมที่ดีควรจะเป็นสิ่งที่ลูกค้ารู้สึก “อยากใช้” มากกว่าแค่ “ได้รับมา” เท่านั้น


สรุป

การเลือกของพรีเมี่ยมที่ใช่ เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

การเลือกของพรีเมี่ยมที่มีคุณค่าและอยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม ไม่ใช่เรื่องยาก หากพิจารณาตามเช็กลิสต์หลัก 6 ข้อที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และมั่นใจได้ว่าของขวัญชิ้นนั้นจะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้จริง ซึ่งสิ่งนี้มีผลโดยตรงต่อยอดขายและการรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว

ในยุคปัจจุบัน การมอบของพรีเมี่ยมให้ลูกค้า ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลัง ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นยอดขาย แต่ยังช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) อย่างยั่งยืน

หากเลือกของพรีเมี่ยมได้ตรงใจลูกค้า ย่อมเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขยายฐานลูกค้าในระยะยาว

ของพรีเมี่ยมที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้:

  • สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์: สื่อถึงความเป็นตัวตนของธุรกิจ

  • ใช้งานได้จริง: มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ของประดับ

  • ตรงใจลูกค้า: เข้าใจไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

  • มีเรื่องราวหรือความหมาย: สร้างความรู้สึกพิเศษและเชื่อมโยงกับแบรนด์

  • คุ้มค่ากับต้นทุน: ให้คุณภาพที่เหมาะสมในราคาที่แบกรับได้

·        สร้างความประทับใจด้วยดีไซน์และคุณภาพ: ไม่ควรเน้นสินค้าราคาถูกจนลืมคำนึงถึงเรื่องคุณภาพ

 

การเลือกสินค้าที่มีความหมาย ใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ผู้รับ จะช่วยสร้างความประทับใจที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายอย่างรอบคอบ รวมถึงการวางแผนงบประมาณให้สอดคล้องกับคุณภาพของของพรีเมี่ยมที่เลือกใช้

ท้ายที่สุด การเลือกของพรีเมี่ยมที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับแบรนด์ และมอบในจังหวะที่เหมาะสม จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงคุณค่าและความใส่ใจ ส่งผลให้เกิดความประทับใจ ความภักดี และความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน พร้อมกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 
 
 

Comments


bottom of page